01 กรกฎาคม 2555

ปลูกต้นไม้กันเถอะ ตอนที่3: จับไม้ใส่กระถาง

ครั้งก่อนๆเราได้พูดถึงการเตรียมต้นไม้ และส่วนผสมสูตรดินกันไปแล้วนะครับ วันนี้ก็ถึงคราวที่เราจะมาคุยเรื่องการนำต้นไม้ลงกระถางเสียที

พอถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มมีคำถามแล้ว ว่ากระถางมีตั้งหลายแบบ แล้วกระถางแบบไหนกันนะ ที่จะเหมาะกับไม้อวบน้ำมากที่สุด ดังนั้นวันนี้จะขอวิเคราะห์เจาะประเด็นนี้กันสักหน่อยครับ

เพื่อความสะดวกในการวิเคราะห์ จะขอพูดถึงที่ละชนิดๆไปเลยนะครับ โดยส่วนตัวแล้ว ผมแบ่งกระถางต้นไม้ที่พบเห็นกันบ่อยๆ ตามลักษณะวัสดุที่ใช้ทำกระถางได้เป็น 4 ชนิดครับ

1. กระถางพลาสติก

ภาพจาก http://www.organicthailand.com/

เป็นกระถางที่เป็นที่นิยมสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขายไม้ เนื่องจากข้อดีที่มาอันดับต้นๆ คือราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับกระถางชนิดอื่นๆครับ นอกจากนี้ยังน้ำหนักเบา และมีหลากหลายรูปร่าง หลากหลายขนาดให้เลือกใช้ด้วย ข้อเสียของกระถางพลาสติกก็คือ อายุการใช้งานไม่นานนัก เมื่อใช้ไปซัก 2-3 ปี ก็จะเริ่มมีอาการกรอบให้เห็น นอกจากนี้ ตัวกระถางมีความสามารถในการระบายความชื้นต่ำครับ (คือน้ำผ่านตัวกระถางที่เป็นพลาสติกไม่ได้) ดังนั้นผู้ที่จะใช้กระถางชนิดนี้ ควรจะต้องมั่นใจในเรื่องการให้น้ำและสูตรดินของตัวเองพอสมควรว่าระบายความชื้นได้ดี มิเช่นนั้นต้นไม้จะชื้นเกินไปและเน่าตายได้ครับ

 2. กระถางดินไม่เคลือบ

ภาพจาก http://www.be2hand.com/scripts/shop.php?user=yui_laddawan&do=list&cat_id=1807

อันนี้ผมหมายถึงพวกกระถางดินสีส้มๆน้ำตาลๆทั่วไปน่ะนะครับ ข้อดีของกระถางชนิดนี้ก็คือเรื่องการระบายความชื้น เนื่องจากว่าทำจากดิน กระถางชนิดนี้จะมีรูพรุนในเนื้อกระถาง ทำให้ความชื้นผ่านได้ครับ ซึ่งนี่เองทำให้ภายในกระถางชนิดนี้มีความเย็นมากกว่ากระถางชนิดอื่นๆ ดังนั้นกระถางชนิดนี้จะเหมาะกับพืชที่ชอบความแห้งมากๆ หรือเน่าง่าย ส่วนข้อเสียก็คือเรื่องราคา กระถางชนิดนี้ราคาสูงกว่ากระถางพลาสติกมาก น้ำหนักเยอะกว่ามากด้วย (ทำให้วัสดุทำโรงเรือนก็จะต้องแข็งแรงมากตามด้วยนะครับ)

3. กระถางดินเคลือบ, กระถางแก้ว, กระถางเซรามิก

ภาพจาก http://www.positioningmag.com/prnews/prnews.aspx?id=20769

จุดเด่นของกระถางกลุ่มนี้คือเรื่องของความสวยงาม บางท่านเมื่อได้ไม้สวยๆมา ก็อยากจะให้เขาอยู่ในกระถางสวยๆ เพื่อความโดนเด่นสวยสง่าให้เหนือขึ้นไปอีกระดับ แต่ควรระวังนะครับ จุดด้อยของกระถางกลุ่มนี้ก็มาจากวัสดุเคลือบที่สวยๆนี่เองครับ เพราะพวกนี้จะลดความสามารถให้น้ำผ่านของกระถางลงครับ และจุดด้อยอีกจุดที่ควรจะต้องคำนึงถึงก็คงไม่พ้นเรื่องราคา

4. กระถางโลหะ

ภาพจาก http://www.forfur.com

อันนี้คิดว่าไม่เป็นที่นิยมนักในบ้านเรา ซึ่งจริงๆแล้วก็สมเหตุสมผลนะครับ เนื่องจากโลหะไม่ให้น้ำผ่าน น้ำหนักมาก โลหะบางชนิดอาจเกิดสนิมได้ และจะร้อนเอามากๆหากตั้งกลางแดด ดูๆแล้วจะมีข้อเสียมากกว่าข้อดีครับ แต่จุดเด่นก็คงอาจจะเป็นเรื่อง texture ที่แปลก และให้ความแตกต่างไม่เหมือนใคร

เอาละครับ ทีนี้เรามานำต้นไม้ลงกระถางกันเลยดีกว่า ก่อนอื่น ขอแนะนำตัวนายแบบสำหรับวันนี้ก่อนครับ

ถึงผมจะตัวเล็ก แต่ผมมีเซฟแล้วนะครับ

เจ้านี่ชื่อ Discocactus bueneckeri ครับ เป็นดิสโก้ตัวเล็ก มีลักษณะเด่นคือเนินหนามที่ต่างจากดิสโก้อื่นๆ คือเป็นเนิมหนามแยกตัวไม่เป็นสันพู และให้หน่อได้ครับ พอรู้จักหน้าค่าตากันแล้วนะครับ ต้นนี้ผมเอาออกจากกระถางผึ่งไว้ 2 อาทิตย์แล้วครับ ต้นเริ่มซูบๆไปบ้าง ถึงคราวจะต้องลงดินกันเสียที เริ่มกันเลยดีกว่า

ก่อนอื่น ควรกะขนาดต้น และขนาดระบบรากก่อน เพื่อให้กะขนาดกระถาง และความหนาของชั้นรองก้นได้ถูก

จะเห็นว่ารากต้นนี้สั้นๆตื้นๆนะครับ แบบนี้ควรเลือกกระถางเตี้ยกว้างครับ

เนี่องจากว่าที่ที่ผมอยู่กระถางค่อนข้างจะหายากนะครับ บางทีผมก็เลยจะประยุกต์ เอาแก้วเบียร์นี้ละครับ มาตัดและเจาะรูทำเป็นกระถางเสียเลย ถูกดีครับ และก็เลือกได้ด้วยว่าจะเอาสูงขนาดไหน ก็ตัดเอาได้ตามชอบใจเลยครับ

แก้วเบียร์พลาสติก เอามาตัดเป็นกระถางซะเลย

อย่าลืมเจาะรูระบายน้ำใหญ่ๆด้วยนะครับ

ต่อมาก็ลองกะดูครับ ว่าจะไห้ต้นไม้อยู่ตำแหน่งประมาณไหน กระถางขนาดพอดีหรือไม่

กระถางขนาดพอดีกับต้นไม้เลย แบบนี้ใช้ได้ครับ หรือจะเลือกให้ใหญ่กว่านี้ได้อีกหน่อยนะครับ


อันนี้กำลังดีแล้วนะครับ ต้นไม่คับกระถางเกินไป เพราะเราจะปลูกให้สูงขึ้นมา และความลึกก็กะให้รากอยู่เหนือก้นกระถางเล็กน้อยแบบนี้ครับ


ได้ที่แล้วก็มารองก้นกระถาง ความสูงของชั้นรองขึ้นกับระบบรากของต้นไม้ที่จะปลูก ส่วนมากจะหนาประมาณ 1-2 ซม. หรือ ประมาณ 1/4 ของปริมาตรกระถางครับ (อ่านเรื่องวัสดุรองก้นกระถางเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ)

ทางผมหาถ่านไม้ไม่ได้ครับ เลยรองกินด้วยเพอร์ไลท์แทน อย่าลืมร่อนเอาผงเล็กๆออกด้วยนะครับ

กระถางผมเตี้ยพอดีกับต้นไม้อยู่แล้ว รองซักขนาดนี้ก็กำลังพอดีครับ

ต่อมาก็ใส่ดินผสมลงไปเล็กน้อย กะให้หนาประมาณ 1 ซม. - 1 นิ้วครับ การปลูกต้นไม้กลุ่มนี้ ไม่ควรฝังโคนต้น ลงในดินลึกเกินไป เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเน่าครับ ทางที่ดี คือควรจะให้แค่ส่วนรากสัมผัส ทิ่มลงไปในดิน แต่บริเวณโคนต้นแตะดินพอดี หรือลอยอยู่เหนือดินเล็กน้อย (กรณีพวกไม้ลำอาจจะต้องใช้ไม้ช่วยค้ำในระยะแรกๆ) อันนี้ทำได้โดยการใช้กรวดโรยหน้าเป็นตัวช่วยพยุงครับ เมื่อกะตำแหน่งที่ควรจะเป็นของต้นไม้ได้แล้ว ก็ความหนาของชั้นดินนี้กับความยาวของรากต้นไม้ เอาว่าให้ปลายรากยาวลงไปแตะๆหน้าดินพอดี ถ้าเหลือที่เยอะไปแปลว่ากระถางสูงเกินไป ควรเปลี่ยนกระถาง หรือไม่ก็รองก้นเพิ่มครับ

เมื่อรองดินชั้นแรกได้ที่แล้วก็วางต้นไม้ลงไป จะพิงกับข้างกระถาง หรือจะเอามือหนึ่งจับไว้ก็ได้ แล้วก็ตักดินผสมใส่ลงไปกลบรากครับ สุดท้ายดินควรจะกลบรากส่วนใหญ่ อย่าลืมว่าต้นไม้ไม่ควรฝังจมลงไปลึกมาก หากเป็นพวกรากมีโขด เช่น Ariocarpus อาจจะเห็นโคนรากเล็กน้อย ไม่เป็นไรครับ เอานิ้ว หรือช้อนกดบริเวณโคนต้นเล็กน้อย เพื่อให้ดินแน่นนิดหนึ่ง ต้นจะได้ไม่โยกโคลง ถ้าดินยุบลงไปมากก็ใส่เพิ่ม และกดๆอีกจนได้ตามต้องการครับ กดนี่คือแค่เบาๆ เอาให้ต้นไม้ไม่ง่อนแง่นก็พอนะครับ อย่าใช้แรงมากไปเพราะจะทำให้ดินแน่นเกินไป รากต้นไม้เดินไม่สะดวก และลดความโปร่งของดิน เมื่อเสร็จแล้ว หน้าดินควรจะเตี้ยลงมากว่าขอบกระถางราวๆ 0.5 ซม. เพื่อให้มีที่โรยกรวดครับ

ใส่ดินแล้วก็จะได้ประมาณนี้ครับ

ด้านบนครับ
 
สุดท้ายก็โรยกรวดลงไป กรวดนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามแล้ว ยังมีข้อดีช่วยค้ำต้นไม้ไม่ให้โยกโคลง และช่วยป้องกันหน้าดินกระจายเวลารดน้ำด้วยครับ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จภารกิจ Mission accomplished ครับ

กรวดผมก็หาไม่ได้อีกเหมือนกัน เอาเพอร์ไลท์นี่ละครับโรยหน้าซะเลย

มาดูด้านบนกันบ้างครับ เรียบร้อยดีไหม

ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า เราควรจะรดน้ำต้นไม้หลังปลูกทันทีหรือไม่ เท่าที่ผมรู้ มีหลายท่านชอบที่จะรอไปก่อนซัก 3-5 วัน หลังปลูก แล้วค่อยรดน้ำ แต่โดนส่วนตัว ผมชอบที่จะรดน้ำไปเลยมากกว่า เพราะส่วนมาก ก่อนผมจะเปลี่ยนกระถาง ผมจะล้างราก ตัดแต่งราก และพักต้นไม้ไว้ก่อนหน้าประมาณ 1 อาทิตย์แล้วครับ และวัสดุปลูกของผมทุกอย่างจะแห้งทั้งหมด เท่าที่ลองเลี้ยงมา ยังไม่เจอปัญหาอะไรครับ โดยน้ำที่รดครั้งแรกหลังปลูกนี้ ผมจะละลายออร์โธไซด์ และ B1 ลงไปด้วยเล็กน้อย เพื่อป้องกันเชื้อราอีกชั้นหนึ่ง และช่วยให้ต้นไม้ฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่ในกรณีที่เราไม่ล้างราก และดินเก่า หรือดินผสมใหม่ของเราชื้นอยู่ อย่างนี้ก็ยังไม่ควรรดน้ำทันทีครับ เพราะความชื้นในดินเพียงพออยู่แล้ว อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านละครับ

เป็นยังไงบ้างครับ กับวิธีการปลูกต้นกระบองเพชร อาจจะฟังดูพิถีพิถันหน่อย แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิดใช่ไหมครับ ทีนี้เราก็รู้วิธีปลูกกระบองเพชรกันแล้ว รอบหน้าผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับการดูแลต้นไม้หลังการปลูกครับ อย่าลืมติดตามชมกันนะครับ

21 พฤษภาคม 2555

ปลูกต้นไม้กันเถอะ ตอนที่2: เตรียมดิน


ตอนที่แล้วเราได้พูดคุยกันถึงข้อดีข้อเสียของวัสดุรองกันชนิดต่างๆไปแล้วนะครับ ใครที่ยังไม่ได้อ่าน สามารถตามไปอ่านกันได้ ที่นี่ ครับ ครั้งนี้ก็ ตามสัญญาครับ วันนี้ผมจะเล่าถึงเรื่องการเตรียมดินสำหรับปลูกไม้อวบน้ำ ซึ่งหลักๆแล้ว ส่วนผสมทั่วไปก็ไม่มีอะไรมากครับ หลักๆก็มีดิน และพวกกรวดทรายเท่านั้นเอง

ถึงตรงนี้บางท่านอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่า "อะไรกัน กระบองเพชรเป็นพืชทะเลทรายไม่ใช่เหรอ เวลาปลูกก็ควรต้องปลูกด้วยทรายอย่างเดียวสิ" อันนี้ต้องขอบอกว่า จริงๆแล้วต้นไม้พวกนี้ไม่ได้มาจากโซนทะเลทรายแบบที่มีแต่เนินทรายสุดลูกหูลูกตาอย่างในหนังที่เราเห็นกันบ่อยๆหรอกครับ แถวนั้นจริงๆแล้วจะแทบไม่มีต้นไม้หรือสิ่งมีชีวิตอาศัยได้เลย กระบองเพชรที่ว่าทนแล้งเก่งๆ เจอแบบนั้นเข้าไปก็ไม่รอดครับ แต่โซนที่ต้นไม้อวบน้ำสุดโปรดของพวกเราอาศัยอยู่นั้น จริงๆแล้วเป็นบริเวณที่โหดร้ายน้อยกว่านั้นครับ คือจะเป็นโซนที่มีมีไม้พุ่มไม้ยืนต้นขึ้นบ้างประปราย และมีความชื้นบ้าง ดินในแหล่งที่อยู่ปกติของกระบองเพชรและไม้อวบน้ำ จะมีส่วนประกอบหลักเป็นกรวด ทราย อุ้มน้ำได้น้อย และมีซากพืชซากใบไม้อยู่บ้าง การผสมดินลงไป จะทำให้ได้ส่วนผสมที่เป็นที่ถูกอกถูกใจต้นไม้ของเรามากขึ้น การเลี้ยงไม้พวกนี้ด้วยทรายล้วนๆ จึงเป็นอะไรที่โหดร้ายต่อต้นไม้พอสมควรครับ เนื่องจากทรายนั้นแทบจะไม่เก็บน้ำเลย และยังไม่มีธาตุอาหารที่ต้นไม้สามารถดูดซึมไปใช้ได้ด้วย ดังนั้น หากจะเลี้ยงโดยไม่ใช่ดินหรือสารอินทรีย์เลย ต้องคิดถึงเรื่องการเสริมธาตุอาหารให้ต้นไม้ด้วยครับ ในทางตรงกันข้าม การใช้ดินถุงที่ไม่ผ่านการผสมอะไรเลยเลี้ยงกระบองเพชรโดนตรงก็ไม่ดีต่อต้นไม้เช่นกัน เพราะดินถุงที่มีขายในบ้านเราเหมาะกับการเลี้ยงต้นไม้พื้นเมืองของเราซึ่งเป็นโซน tropical ที่ชอบความชื้นสูงครับ ดินถุงบ้านเราเลยจะอุดมไปด้วยสารอินทรีย์ และจะอุ้มน้ำดีเยี่ยม แต่การที่ดินดุ้มน้ำดีนี่เอง จะทำให้ต้นกระบองเพชรและพืชอวบน้ำอื่นๆเน่าตายได้หากนำมาใช้ปลูกโดยตรง

สภาพถิ่นกำเนิดของ cactus ต้นในภาพคือ ถังทอง (Echinocactus grusonii) จะเห็นว่ามีต้นไม้ต่างๆ และหญ้าขึ้นอยู่ ไม่ได้เป็นทะเลเนินทรายอย่างที่เราเข้าใจ ภาพจาก http://www.arkive.org/golden-barrel-cactus/echinocactus-grusonii/image-G47255.html
































บริเวณที่ cactus ขึ้นอยู่ มักพบไม้พุ่มเล็กๆ และพีชพวก Agave ขึ้นอยู่บริเวณใกล้เคียง ภาพจาก http://www.naturalist.co.uk/tours/argentina_cacti2.php
เอาละครับ คงพอเห็นภาพกันแล้วว่าต้นไม้ของเรามาจากสภาพภูมิประเทศภูมิอากาศอย่างไร โดยสรุปก็คือ พืชอวบน้ำ ชอบดินที่โปร่งระบายน้ำได้ดี และมีสารอินทรีย์เล็กน้อยครับ นี่เป็นคอนเซปต์หลักของสูตรดินทั้งหมดที่ผมใช้ ต่อไป เรามาเริ่มจากการทำความรู้จักกันวัสดุปลูกแต่ละชนิดกันก่อนดีกว่า


ดิน

ภาพจาก http://www.siamshop.com/product-1467540
ดินที่ผมชอบคือพวกดินใบก้ามปูครับ แต่จริงๆผมคิดว่าก็ไม่ค่อยสำคัญเท่าไร เพราะว่าเคยใช้ดินอื่นๆมาหลายยี่ห้อแล้ว ต้นไม้ก็ดูโตดีมีสุขไม่ต่างกันเลยครับ โดยรวมแล้วผมจะพยายามเลือกดินที่ไม่หยาบเกินไป คือถ้ามีกาบมะพร้าวสับใส่มาเป็นก้อนๆนี่ไม่เอาครับ และก็ไม่ควรละเอียดเกินไป คือถ้าดินเนียนมาก เป็นดินเหนียวเหมือนดินปั้นหม้อ หรือจับตัวเป็นก้อนแข็งๆนี่ใช้ไม่ได้ครับ ดินนี่ ถ้าจะเอาให้ตรงตามตำรา ก่อนจะเอามาใช้ควรจะตากแดดฆ่าเชื้อโรคก่อน แต่ส่วนมากผมก็ไม่ได้ทำครับ เพราะเคยมีตากๆดินไว้แล้วฝนตกครับ สภาพที่เกิดเหตุดูไม่ได้เลย เอาเป็นว่า เป็นดินที่แห้ง ดูแล้วไม่มีรังแมลง ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ ดินนี่ผมใส่ในทุกสูตรดินครับ

ทราย

ภาพจาก http://www.konbaan.com/shoppingzone/Expic3.php?pid=400

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะครับว่าผมเคยได้ยินมาว่ามีโปรหลายท่านเหมือนกันที่ไม่นิยมใช้ทราย ดังนั้นก็ลองพิจารณาดูก่อนนะครับ แต่เท่าที่ผมลองเลี้ยงๆมา ทรายยังไม่เคยสร้างปัญหาให้ผมครับ ผมจะใช้ทรายก่อสร้างเนี่ยละครับ เพราะว่าเม็ดทรายจะหยาบหน่อย ถ้าเจอทรายละเอียดๆแบบที่เราไปเดินนุ่มๆเท้าที่ชายหาดนี่อย่าเอามาใช้นะครับ เพราะเขาจะเข้าไปอุดช่องว่างในดินผสมของเรา ขวางช่องทางระบายน้ำและอากาศครับ ดินจะอับชื้น ต้นไม้จะเน่าได้ ทรายก็เช่นเดียวกับดินครับ ควรเอามาตากแดดก่อน แต่ส่วนมากผมก็ไม่ได้ทำอีกเหมือนกัน เอาเป็นว่าแห้งๆ ไม่มีตัวอะไรวิ่งเพ่นพ่านเป็นอันใช้ได้ครับ ผมใส่ในทุกสูตรดินเช่นกัน

แกลบ

ภาพจาก http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/03/X11785347/X11785347.html

แกลบคือเปลือกข้าวนั่นเองครับ มีขายทั้งแบบที่ยังไม่ได้เผา และแบบที่เผาแล้ว ผมชอบใช้แบบที่เผาแล้วครับ เพราะอย่างน้อยก็เท่ากับว่าผ่านการฆ่าเชื้อโรคมาแล้ว 1 รอบ ถ้าใช้แบบที่ไม่ได้เผาบางทีจะงอกเป็นต้นข้าวได้ครับ ต้องมานั่งดึงนั่งถอนกันอีก ข้อดีของแกลบก็คือจะช่วยเพิ่มความพรุนของดินปลูกของเราได้ และช่วยเก็บความชื้นได้ปานกลางครับ ผมจะใช้กับไม้ทั่วไปครับ

ขุยมะพร้าว

ภาพจาก http://creepercolony.net/

อันนี้คือกาบมะพร้าวป่นน่ะนะครับ สรรพคุณก็คล้ายๆแกลบ แต่ว่าจะสามารถเก็บความชื้นได้มากกว่า ผมจะใช้ขุยมะพร้าวเป็นตัวแทนแกลบในการปลูกไม้กลุ่มที่ชอบชื้นมากหน่อยครับ

เพอร์ไลท์ (Perlite)

ภาพจาก http://www.tincpro.com/perlite_board/perlite_board.htm

เป็นก้อนแร่ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเบาๆสีขาวๆครับ นิยมใช้เป็นวัสดุเพิ่มความโปร่งพรุนให้กับดินผสม อุ้มน้ำได้ปานกลาง แต่มีข้อดีคือไม่ค่อยเสี่ยงต่อการเป็นที่อยู่ของแมลงและไม่สลายตัวครับ ราคาสูงพอสมควรครับ ผมจะใช้ Perlite แทนแกลบ ในกรณีปลูกไม้ระดับสูงขึ้นมาครับ

หินภูเขาไฟ (Pumice)

ภาพจาก http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=orchid-life

อันนี้คือหินชนิดเดียวกับที่เราใช้รองก้นกระถางที่เราพูดถึงกันไปแล้วในตอนที่แล้วนั่นเองครับ แต่ว่าที่ใช้รองก้นควรเลือกเอาชนิดก้อนใหญ่หน่อย ส่วนที่ผสมในดินปลูก ควรจะเป็นก้อนเล็กกว่าครับ (เลือกเบอร์กะเอาขนาดประมาณ 0.5-1 ซม. ครับ) ใช้เป็นวัสดุเพิ่มความโปร่งพรุนให้กับดินผสมเช่นกัน ราคาค่อนข้างสูง น้ำหนักมากหน่อยขนส่งไม่ค่อยสะดวก ผมจะใช้แทนเพอร์ไลท์ในกรณีที่ปลูกไม้ราคาสูง ไม้หายาก หรือไม้ที่เลี้ยงยากๆอื่นๆครับ

เอาละครับ ทีนี้ก็มาถึงส่วนผสมดินแล้ว

ผมก็เริ่มจากการเตรียมกะละมังมาอันนึงนะครับ แล้วก็ช้อนตักดิน เอาไว้คนผสมส่วนผสมต่างๆ และที่ขาดไม่ได้ ก็คือภาชนะอะไรซักอย่างที่แข็งแรงพอจะตักวัสดุปลูกทั้งหลายได้ครับ เช่นขันใบพอดีมือ ผมจะใช้อันนี้ละตวงวัสดุปลูก เพื่อให้เป็นระบบเดียวกันครับ

สูตรที่ 1

ดิน 1 ส่วน, ทราย 2 ส่วน, ขุยมะพร้าวหรือแกลบ 1 ส่วน

สูตรนี้จะชื้นที่สุดครับ ผมใช้สูตรนี้กับไม้ต่อตอ Pereskiopsis, ตอแก้วมังกร และตอสามเหลี่ยมลูกผสม (รวมถึงตัวไม้ตอเองด้วย) ไม้ตอพวกนี้เป็นพืชท้องถิ่นของโซนบ้านเราอยู่แล้ว ดังนั้นเขาชอบน้ำมากกว่ากระบองเพชรทั่วไปครับ นอกจากนี้สูตรนี้ยังอาจใช้กับไม้ที่เลี้ยงง่าย ชอบความชื้นมากหน่อยกลุ่มอื่นๆ เช่น Echinopsis, lobivia, Weingartia, Mammillaria ทนๆบางตัว รวมถึงพวกกุหลาบหินด้วยครับ


สูตรที่ 2

ดิน 1 ส่วน ทราย 3 ส่วน แกลบ 1 ส่วน Perlite 1 ส่วน 

อันนี้เป็นสูตรหลักที่ใช้บ่อยที่สุด ผมใช้กับไม้ต่อตอหนามดำ ตอริทเทอโร ตอบลู (รวมถึงตัวไม้ตอเองด้วย) และไม้ทั่วไป เช่น Astrophytum, Gymnocalycium, Melocactus, Mammillaria, และ Agave ไม้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงมาก่อน ผมก็จะเริ่มจากสูตรนี้ครับ ขณะนี้กำลังทดลองใช้สูตรนี้กับ Lithop, Titanopsis, Avonia และ Haworthia ยังไม่เจอปัญหาอะไรครับ สำหรับสูตรนี้ไม่แนะนำให้ใช้ขุยมะพร้าวแล้วนะครับ


สูตรที่ 3

ดิน 1 ส่วน แกลบ 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน หินภูเขาไฟ 2 ส่วน

เป็นสูตรแห้ง โปร่งเป็นพิเศษ ถ้าต้องการให้ระบายน้ำดีขึ้นอีกก็เอาแกลบออกครับ สูตรนี้ผมใช้กับไม้ที่ชอบแห้งๆ พวกไม้เน่าง่ายใจเสาะทั้งหลาย เช่น Ariocarpus, Lophophora, Copiapoa, Mammillaria บางตัว และไม้อวบน้ำกลุ่มอื่นบางชนิด

ในทุกสูตร ผมจะผสมปุ๋ยสูตรเสมอ สตาร์เกิลจี และออร์โธไซด์ ลงไปเล็กน้อยด้วยครับ กันให้หมดทั้งรา และแมลง อุ่นใจดีครับ

นอกจากนี้ยังมีวัสดุปลูกพรีเมียมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยส่วนตัวผมยังไม่เคยใช้ แต่เซียนๆหลายท่านเอ่ยปากรับรองกันว่าใช้ได้ดีจริงๆ ก็คือ "ดินญี่ปุ่น" ครับ สามารถผสมลงในสูตรดินเพื่อเพิ่มความโปร่ง หรือจะใช้เดี่ยวๆเลยก็ยังได้ ข้อดีคือระบายน้ำดีเยี่ยม โปร่งดีเยี่ยม อายุการใช้งานนาน และมีธาตุอาหารให้กับพืชครับ เหมาะมากกับพวกไม้โหดมากๆ ไม้ราคาสูง หรือไม้ที่ระบบรากอ่อนแอ ผมเคยเห็นมีคนใช้ดินนี้กับ Ariocarpus, Aztekium, Geohintonia, Blossfeldia, Mammillaria ตัวโหดๆ (เช่น แมมเทเรซ่า แมมลูทิไอ แมมเฮอร์นันเดซ พวกนี้เน่าตายง่ายมาก), Lophophora, Copiapoa และ Haworthia ตัวเทพๆครับ ข้อเสียคือราคาสูง ดังนั้นควรเก็บไว้ใช้กับเหล่าลูกคุณหนูใจเสาะทั้งหลาย จะเป็นการดีกับสภาพคล่องทางการเงินของท่านครับ

ดินญี่ปุ่น หรือ Akadama soil ภาพจาก http://www.nebonsai.com/mm5/merchant.mvc?Screen=PROD&Store_Code=NEBG&Product_Code=AkadamaLow&Category_Code=SOIL

เอาละครับ วันนี้เราก็ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องลักษณะดินที่ต้นกระบองเพชรและไม้อวบน้ำชื่นชอบกันแล้วนะครับ นอกจากนี้เรายังได้ทำความรู้จักส่วนผสมต่างๆของดินปลูกต้นไม้ และได้สูตรดินกันไปทดลองปลูกแล้วด้วย ตอนหน้าผมจะพาทุกท่านไปชมการปฎิบัติการจริงในตอนเอาต้นไม้ลงกระถางครับ อย่าลืมติดตามชมกันนะครับ

ปลูกต้นไม้กันเถอะ ตอนที่1: วัสดุรองก้นกระถาง


เอาละครับ วันนี้เต้จะขอรับหน้าที่เป็นคนเล่าเรื่องนะครับ เพราะว่าดูน้องตาวท่าทางจะยุ่งกับการปลูกต้นไม้อยู่ อาทิตย์ที่แล้วน้องตาวล้างรากต้นไม้ไว้หลายต้นเลย และเรายังมีสั่งซื้อต้นไม้เข้ามาเพิ่มด้วย สรุปแล้วขณะนี้มีต้นไม้ที่เข้าคิวรอปลูกอยู่เยอะพอสมควรเลยละครับ

ขั้นตอนแรกก็คือการเตรียมต้นไม้ การตัดแต่งราก และการล้างราก ซึ่งได้เล่าไปแล้วนะครับในบล็อกเรื่อง เตรียมความพร้อมก่อนปลูก: ล้างราก เมื่อไรดี ทีนี้เมื่อเราผึ่งต้นไม้จนแผลแห้งดีแล้ว ต้นไม้ของเราก็พร้อมที่จะย้ายเข้าบ้านใหม่แล้วละครับ

เอาละครับ เริ่มกันเลยดีกว่า ขั้นตอนแรกก็คือการเตรียมวัสดุรองก้นกระถางครับ อันนี้อาจจะฟังดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าไร บางคนก็อาจจะคิดว่ารองก้นไปแค่เพื่อให้กันดินปลูกไม่ไหลรั่วออกทางก้นกระถางง่ายเกินไป แต่จริงๆแล้วการรองก้นกระถางมีความสำคัญมากๆเลยนะครับ เพราะว่าวัสดุรองก้นกระถางพวกนี้ละ ที่จะช่วยเพิ่มการระบายน้ำและอากาศให้กับรากต้นไม้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เป็นตัวกำหนดว่าต้นไม้จะงามไม่งาม จะอยู่หรือจะไปกันเลยทีเดียวนะครับ!!! นอกจากนี้ วัสดุรองก้นพวกนี้ ยังช่วยปรับปริมาณดินในกระถาง ให้พอเหมาะกับขนาดของระบบรากของต้นไม้ได้ด้วยครับ คือถ้าต้นไม้ต้นใหญ่ แต่รากมีจึ๋งเดียว เช่นกรณีไม้ชำหน่อทั้งหลาย เราก็รองก้นให้เยอะๆหน่อย เพื่อให้ต้นไม้ไม่แฉะเกินไปครับ ซึ่งตรงนี้ ถ้าไม่มีการรองก้นเลย ต้นไม้จะเสี่ยงต่อการรากเน่ามากเลยครับ

วัสดุรองก้นที่นิยมใช้กันก็มีหลายแบบ จะขอพูดถึงแต่ละชนิดเอาแบบเจาะลึกถึงลูกถึงคนกันไปเลยครับ จะให้ดาวด้วย สูงสุดที่ 5 ดาวคือเยี่ยมทึ่สุดครับ

กาบมะพร้าวสับ **

ภาพจาก http://www.jjthai.net/products/10101

อันนี้ก็ตามชื่อเลยครับ กาบมะพร้าวสับมีข้อดีคือ ถูก หาซื้อได้ง่าย และน้ำหนักเบาครับ ซื้อได้ปริมาณมากๆ ขนย้ายสบายเลย แต่ในความเห็นผม กาบมะพร้าวมีข้อเสียใหญ่ๆอยู่ครับ คือ

1. กาบมะพร้าวจะค่อนข้างอุ้มน้ำได้ดีกว่าวัสดุรองก้นอื่น ไม่เหมาะกับไม้ที่ต้องการความแห้ง-โปร่งสูง เช่น Ariocarpus และ Lophophora แต่ในทางกลับกัน ต้นไม้ที่ชอบความชื้นมากหน่อย อย่างกลุ่ม Echinopsis, Lobivia และ กลุ่มกุหลาบหิน ก็จะชอบกาบมะพร้าวครับ

2. อายุการใช้งานต่ำ เพราะกาบมะพร้าวเป็นสารอินทรีย์ เมื่อใช้ไปปีสองปีเขาก็จะสลายตัว ทำให้จับตัวกันแน่น ไม่ช่วยอะไรเรื่องความโปร่งอีกต่อไปครับ

3. เพลี้ยแป้งชอบมากกกกก  อาจจะต้องใช้ยาฆ่าแมลงคุมเยอะหน่อยครับ

4. มียาง กรณีเลี้ยงไม้บนพื้นผิวที่ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ เช่นในห้องนอน บนพื้นพรม บนพื้นกระเบื้องสวยๆ เมื่อน้ำรดต้นไม้ไหลซึมออกจากก้นกระถาง ก็จะมีน้ำยางติดมาด้วย และจะทิ้งคราบไม่ค่อยสวยงามไว้ครับ

โดยรวมแล้วทำให้ผมไม่ค่อยนิยมใช้กาบมะพร้าวรองก้นเท่าไร ให้สองดาวครับ ถ้าจะมีใช้บ้างก็คือจะใช้รองก้นพวกตอต่างๆเพื่อการขยายพันธุ์ เช่นตอสามเหลี่ยม ตอสามเหลี่ยมลูกผสม และตอ Pereskiopsis ครับ ตอสามชนิดนี้ชอบน้ำเยอะ และเราก็เดี๋ยวตัดใช้ เดี๋ยวตัดชำอยู่แล้ว ดังนั้นเขาเหมาะกับกาบมะพร้าวมากครับ

ถ่านชิ้นเล็กๆ ****

ภาพจาก http://www.be2hand.com/950504
อันนี้ก็คือถ่านไม้ที่แม่ค้าส้มตำเอาไว้จุดไฟย่างไก่นั่นละครับ ถ้าชิ้นเล็กๆไม่มี ก็ซื้อชิ้นใหญ่มา หาค้อนอันเหมาะๆมือซักอัน แล้วก็ทุบๆๆๆๆ หลังจากนั้นกอบเอาแต่ชิ้นขนาดพอใช้ หรือจะร่อนเอาผงๆฝุ่นๆออก เท่านี้ก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้วครับ (สาวๆก็จะได้ออกกำลัง กระชับต้นแขนด้วยนะเอ้อ) ถ่านนี่เรียกได้ว่าเป็นวัสดุรองก้นที่ผมชอบที่สุดเลยละครับ มีข้อดีก็คือราคาถูก หาได้ง่าย น้ำหนักเบา และเสื่อมสลายตัวช้ากว่ากาบมะพร้าวมาก ถ่านพวกนี้อุ้มน้ำได้บ้าง แต่น้อยกว่ากาบมะพร้าวเยอะเลยละครับ ทำให้ใช้ได้กับต้นไม้หลายชนิด ผมใช้กับไม้แทบทุกชนิด เช่น Astrophytum, Coryphantha, Mammillaria, Ferocactus, Gymnocalycium etc. รวมถึงไม้ต่อตอต่างๆครับ ให้สี่ดาวเลยครับ (หักไป 1 ดาวเพราะต้องตำต้องทุบกันเนี่ยละครับ ทุบมากๆก็ปวดหลังได้นะครับ)

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: การร่อนถ่านอาจจะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะ แต่จริงๆแล้วเราสามารถร่อนถ่าน หรือวัสดุรองก้นอื่นๆได้ง่ายๆด้วยการเอาใส่กระถางที่เราจะปลูก แล้วก็เขย่าๆครับ  เพียงแค่นี้พวกฝุ่นผง หรือวัสดุรองก้นชิ้นเล็กๆที่เราไม่ต้องการก็จะหลุดออกไปตามรูกระถางเองครับ สะดวกใช่ไหมล่า

หินภูเขาไฟ *****

ภาพจาก http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=orchid-life
ภาษาอังกฤษเขาเรียก Pumice ไทยเราเรียกหินพัมมิส หรือภูไมท์ครับ (เสียง -ce ทำไมไทยเราเขียนเป็น - ท์ ไปได้ก็ไม่รู้นะครับ) ก็คือหินพัมมิสอันเดียวกับที่พวกเราหลายคนเคยเรียนกันในวิชาวิทยาศาสตร์นั่นละครับ อันนี้เป็นวัสดุรองก้นในระดับพรีเมี่ยมครับ ผมให้ห้าดาวเลย ข้อดีคือ ไม่เสื่อมสลายตัว (เพราะเขาคือหินเลยนะครับ) อายุการใช้งานนานมาก มีรูพรุนในเนื้อหินสูง ทำให้ระบายอากาศได้ดีมาก แถมยังให้ธาตุอาหารกับต้นไม้ได้ด้วย ข้อเสีย คือน้ำหนักเยอะกว่าวัสดุอื่นๆ ซื้อแล้วขนลำบากครับ และราคาสูงกว่าวัสดุอื่น ผมจะเก็บหินภูเขาไฟไว้ใช้กับไม้ที่ต้องการความแห้งมากๆ เช่น Ariocarpus, Lophophora, Copiapoa และ Mammillaria บางชนิด ไม้ที่ราคาสูง หรือไม้ที่รักเป็นพิเศษครับ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: วิธีการสังเกตไม้ที่ต้องการความแห้งสูงวิธีหนึ่ง คือไม้ที่รากเป็นโขดครับ การที่พวกนี้พยายามเก็บน้ำในทุกส่วน คือทั้งรากทั้งต้น แสดงว่าเขามีการปรับตัวเข้ากับความแห้งแล้งได้เหนือกว่ากระบองเพชรชนิดอื่นที่เก็บน้ำในลำต้นอย่างเดียวไปอีกเสต็ปหนึ่ง นั่นทำให้ไม้พวกนี้มีความต้องการน้ำน้อยกว่ากระบองเพชรทั่วๆไปครับ ดังนั้นการเลี้ยงไม้พวกนี้ ต้องระมัดระวังเรื่องน้ำมากเป็นพิเศษ วัสดุปลูกทั้งหมดต้องโปร่ง ระบายน้ำดีเยี่ยม เปียกมากไปต้นเขาอาจจะปริแตกได้ หรืออาจจะรากเน่าตาย พวกนี้แห้งไว้ก่อนเป็นดีครับ ไว้วันไหนถ้ามีโอกาส ผมจะลองเขียนเกี่ยวกับวิธีการเดานิสัยใจคอต้นไม้จากลักษณะของต้นไม้เองไว้ให้พวกเราได้ลองเอาไปเดากันดูนะครับ

ต่อมาจะขอพูดถึงวัสดุรองก้นอื่นๆ ซึ่งเป็นที่นิยมน้อยกว่าครับ

เม็ดโฟม ***

โฟมตัวหนอน ภาพจาก http://www.patana-sk.com/product.detail_855093_th_4278808#

จะเป็นโฟมกลมๆ หรือโฟมตัวหนอนที่เขาใช้ใส่กล่องพัสดุเพื่อกันกระแทกก็ใช้ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นโฟมกลม ควรเลือกให้เม็ดใหญ่หน่อยครับ เพื่อที่เวลาใส่ดินใส่ต้นไม้แล้วเขาจะไม่อัดตัวกันแน่นจนเกินไป โฟมมีข้อดี คือน้ำหนักเบา ไม่สลายตัว ไม่เป็นที่อยู่ของแมลง และไม่อุ้มน้ำเลยครับ ทำให้ดินจะแห้งไวมาก อาจจะต้องรดน้ำกันบ่อยหน่อย แต่โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยชอบเท่าไรครับ เพราะมันให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ แต่เป็นอีก 1 ทางเลือกที่ดีครับ ผมจะใช้เฉพาะในกรณีหาถ่านหรือหินภูเขาไฟไม่ได้ ให้สามดาวครับผม

กรวดใหญ่ๆ *

ภาพจาก http://www.thaipromote.com/picture.php?picture=5d098345e9bf6c2ece80e1510f930d9b.jpg&p_id=1742322

ก็อย่างเช่นพวกกรวดที่เขาใช้ผสมปูน หรือที่เราเห็นกันตามรางรถไฟนะครับ พวกนี้มีข้อดีคือ ไม่สลายตัว ไม่อุ้มน้ำ มีการระบายน้ำและอากาศที่ดี แต่มีข้อเสียคือหนักมากครับ ถ้าต้องไปซื้อไกลๆมาใช้นี่ก็ไม่ไหว พอรองก้นแล้วก็จะพาลทำให้กระถางหนักไปด้วยครับ ยกไปไหนมาไหนไม่สะดวก ให้ดาวเดียวครับ

อิฐแดงทุบ
อิฐมอญ ภาพจาก http://www.it-angthong.com/brick.html#


คืออิฐแดง หรืออิฐมอญที่ใช้ก่อกำแพงน่ะนะครับ พวกนี้ถ้าเอามาทุบๆ ก็ใช้เป็นวัสดุรองได้เหมือนกันครับ แต่ผมไม่แนะนำเลย เพราะว่าพวกนี้เดิมทีก็คือดินที่เขาเอาไปเผาจนแข็งตัวเป็นก้อนนะครับ ทำให้พวกนี้จะมีฝุ่นผงอนุภาคเล็กๆเยอะมาก และฝุ่นพวกนี้นะครับ พอโดนน้ำก็จะกลายสภาพเป็นอะไรที่คล้ายๆโคลนครับ แล้วเขาก็จะเข้าไปอุดตันทางระบายน้ำระบายอากาศในดิน ทำให้เมื่อใช้ไปนานๆการระบายน้ำและอากาศจะแย่ลงเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ แนะนำว่าให้ร่อนเอาผงๆฝุ่นๆออกก่อนนะครับ นอกจากนั้น ถ้าคุณเคยบ่นว่าทุบถ่านเมื่อยนะครับ ทุบอิฐมอญนี่โหดกว่าเยอะเลยละครับ

เอาละครับ เท่านี้เราก็รู้จัก และสามารถเลือกวัสดุรองก้นกระถางให้เหมาะกับความสะดวกของเรา และชนิดต้นไม้ได้แล้วนะครับ ตอนต่อไปผมจะเล่าเกี่ยวกับการเตรียมดินปลูกครับ จะพูดถึงส่วนผสมสูตรดินที่ผมใช้อยู่ด้วยละเอ้อ ท่านไหนที่สนใจอย่าพลาดนะครับ

18 พฤษภาคม 2555

ซื้อไม้แอสโตรไฟตัม ชุดใหญ่พิเศษ!!


ช่วงนี้มีโอกาสได้ซื้อแอสโตรไฟตัม ไม้กลุ่มโปรดของผมเข้ามาเพิ่มครับ ตั้งใจว่าจะหาตัวสวยๆเอามาเลี้ยงเพื่อเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ครับ ล็อตนี้เป็นไม้กราฟตอแก้วมังกรทั้งหมดเลย ไปดูกันเลยดีกว่าครับ

เริ่มจากต้นแรก มาดูตัวประหลาดกันก่อนเลยครับ ต้นนี้เป็น Astrophytum ซึ่งเป็น hybrid ของ myriostigma กับ ornatum ที่ออก Fukuryu ครับ ซึ่งลักษณะนี้จะเรียกด้วยชื่อเฉพาะว่า "Fukuryu-hannya" เป็น 1 ในต้นที่ผมชอบมากที่สุดในไม้ชุดนี้ ท่าทางจะดอกดกด้วยนะครับ

ด้านบนครับ หนามน้อยๆกับปุยฟูๆ เข้ากันอย่างลงตัวจริงๆ
ด้านข้างครับ ต้นนี้มีลายต้นที่แปลกตามาก
มาต่อที่ต้นที่สองครับ  เป็นตัวประหลาดอีกตัวหนึ่งครับ ต้นนี้เป็น Astrophytum asterias "Snow- Kikko" ครับ ซึ่งน่าจะมีเชื้อของทั้ง Kikko คือบั้งตามสันพู และ Superkabuto Snow-type คือลายขาวเรียงต้วหนาแน่นจนแทบไม่เห็นสีเขียวของลำต้น นอกจากนี้ ต้นนี้เป็นไม้ 10 พูครับ ธรรมดาไม้กลุ่ม asterias จะมี 8 พูเป็นส่วนมาก ไม้ที่มีจำนวนพูพิเศษ เช่น 5, 7, 9 และ 10 พู จะถือว่าเป็นไม้ที่มีความแปลกสำหรับกลุ่มนักเล่น และจะมีราคาสูงกว่าปกติ ต้นนี้นับว่าเป็นต้นที่สวยงามเป็นพิเศษอีกต้นหนึ่งในไม้ชุดนี้ครับ
ด้านข้างครับ  ลายขาวแน่นมากๆ
ด้านบน เห็นลายเวียน เป็นเกลียว แปลกตาดีครับ
ต้นที่สาม เป็น Astrophytum asterias "Superkabuto" ครับ ต้นนี้ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ที่เลือกมาเพราะว่าจุดลายที่ผิวต้นเขาดูหนานุ่ม และแน่นดีครับ ขาวผ่องอย่างนี้ผมแพ้ทางครับ เจอทีไรเสียตังค์ทุกที

มุมบนครับ ขาวดีไหม
ด้านข้าง ทรงแป้นๆ กระทัดรัด น่ารักดีครับ
ต้นที่สี่ เป็น Astrophytum asterias "Superkabuto V-Type" ครับ ก็คือจะมีลายเป็นรูปตัว V บนสันพูอย่างที่เห็นในภาพนะครับ ต้นนี้จุดเด่นคือลายขาวแน่นดีพอสมควร และยังมี 7 พูด้วย แต่ว่าลายวีไม่เด่นชัดเท่าไร ลายขาวมีคราบน้ำเกาะจนหมอง และทรงต้นยืดๆเล็กน้อย รวมๆแล้วถือว่าพอใช้ได้ครับ

Super Kabuto V-type 7 พู ครับ
ด้านข้างครับ


ต้นที่ห้า เป็น Astrophytum asterias "Superkabuto" เหมือนกัน แต่ต้นนี้มีลักษณะเด่นที่มีลายขาวที่ต้นหนาแน่นมากจนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้เห็นผิวสีเขียวของต้นเลย Kabuto ที่ลายแน่นขาวทั้งต้นไม่มีพื้นที่สีเขียวนี่ จะได้รับชื่อว่าเป็น Snow-Type ครับ ต้นนี้ก็เรียกได้ว่าเกือบๆจะเป็น Snow แล้วครับ

ต้นนี้เป็น Super Kabuto ที่เกือบๆจะเป็น Snow type ครับ
อีกรูปครับ
ต้นที่หก เป็น Astrophytum asterias forma variegata ก็คือแอสทีเรียสด่างนั่นเองครับ  ต้นนี้ด่างกระจายสวย เป็นตัว 7 พู แถมยังค่อนข้างให้หน่อเยอะด้วย นับว่าคุ้มค่าการลงทุนมากครับ

หน่อเพียบเลยครับ เห็นแล้วมันชื่นใจ
ด้านข้าง
ต้นที่เจ็ด เป็น asterias ด่างกระจายอีกเช่นกัน ต้นนี้ดูจะมีพื้นที่สีเหลืองมากกว่าอีกต้นหนึ่งอีกครับ แต่หน่อไม่มากเท่าไร สันพูมีเว้าเล็กน้อยด้วยครับ

ต้นนี้สีด่างเหลืองเข้มมาก
มุมบนครับ
ด้านข้างครับ เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งบริเวญด้านล่าง
ต้นที่ 8 เป็น Astrophytum myriostigma cv. 'Fukuryu' ผิวด้านข้างยับๆ แซมด้วยลายสีขาว สวยดีครับ Fukuryu คือต้นทีมีลักษณะผิวต้นยับๆ ที่แปลกคือต้นนี้มีหนามครับ ดูจากลักษณะหนามแล้ว ตอนนี้น่าจะมีเชื้อของ Ornatum ด้วย แต่ว่าเชื้อทาง Myriostigma น่าจะแรงกว่า เพราะทรงต้นค่อนไปทาง Myriostigma คือร่องพูไม่ลึก น่าเสียดายต้นนี้หนามยังไม่สม่ำเสมอเท่าไร แต่ถ้าเอาไปครอสกับต้นแรกคงได้ลูกออกมาน่าสนใจครับ


ต้นที่ 9 เป็น Astrophytum astarias cv. 'Hanazono' ต้นนี้ใหญ่พอสมควรเลยละครับ ทรงต้นสมมาตรดี ปุยขาวเรียงตัวหนาแน่นเป็นระเบียบ เป็น Hanazono ที่ดีต้นหนึ่งครับ ต้นนี้ใหญ่จริงๆเลยครับ ประมาณ 3.5-4 นิ้วได้ กลัวตอจะหัก ต้องตัดลงจากตอแล้วครับ

Hanazono ต้นนี่ใหญ่พอสมควรเลยครับ
ต้นที่ 10 เป็น Astrophytum astarias cv. 'Hanazono' อีกต้นหนึ่งครับ ปุยขาวฟูหนากว่าต้นแรก ขนาดต้นเล็กกว่ากันเยอะครับ แต่โดนส่วนตัวแล้ว ผมว่าฟอร์มต้นนี้สวยกว่า แถมยังให้หน่อได้ด้วยครับ

ต้นนี้เล็กกว่าเล็กน้อย  แต่จุดปุยแน่นกว่าครับ
มีหน่อเล็กๆด้านล่างด้วย
ต้นนี้ 11 Astrophytum asterias cv. 'Kikko' จุดเด่นคือต้นนี้เป็นกิ๊กโกะหลังเต่า คือมีเนินหนามเรียงตัวสับหว่างกันไปมาครับ ฟอร์มแบบนี้ไม่ได้หาได้บ่อยนัก จุดด้อยของต้นนี้คือลายขาวเรียงตัวไม่สวยงามเท่าไร และมีตำหนิรอยแตกที่โคน แต่ไม่ว่ายังไงก็น่าจะเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เชื้อกิ๊กโกะที่ดีได้ครับ

ดูเหมือนกระดองเต่าไหม
ด้านข้างครับ สังเกตรอยแตกสีน้ำตาลบริเวณโคน
ต้นที่ 12 มาดูกิ๊กโกะของกลุ่ม myriostigma กันบ้าง ต้นนี้เป็น Astrophytum myriostigma cv. 'Kikko' มีจุดเด่นตรงที่มี 7 พูครับ myriostigma ส่วนมากจะมี 4-5 พู ไม้กลุ่มนี้ หากมี 3 พู, 7 พูจะถือว่าหายาก และสวยงามเป็นพิเศษ ราคาก็จะสูงกว่าปกติครับ จุดเด่นอีกที่หนึ่งของต้นนี้คือมีบั้งลึกเหลี่ยมคมมากครับ เป็นต้นที่ผมชอบมากๆอีกต้นหนึ่งในชุดนี้ครับ

ต้นนี้บั้งลึก 7 พูครับ
ต้นที่ 13 ยังคงเป็น Astrophytum myriostigma cv. 'Kikko' ต้นนี้ไม่โดดเด่นเท่าต้นแรกครับ 5พูธรรมดา บั้งลึกพอสมควร แต่ว่าให้หน่อได้ และทรงต้นอ้วนป้อมดีครับ

ต้นนี้อ้วนป้อม มีหน่อด้วย

สำหรับการซื้อไม้ล็อตนี้ นอกจากแอสโตรก็มีต้นไม้อื่นๆเล็กน้อยครับ

ต้นที่ 14-15 Aztekium ritterii มีชื่อไม่เป็นทางการว่า "ไอ้เคี่ยม" เป็นแคคตัสที่โตช้าาาาาที่สุด และเลี้ยงยากเลี้ยงเย็นมากที่สุดต้นหนึ่งในอาณาจักรแคคตัส โอกาสอยู่รอดสำหรับไม้รากน้อยมาก เน่าง่าย ทำให้นิยมนำมาต่อตอกันครับ เพื่อช่วยเร่งโตและป้องกันการเน่าของต้นไม้ ต้นเล็กเท่าเหรียญ 10 นี่ถ้าเป็นไม้รากเพาะเมล็ดแล้วละก็ราคาหลักพันนะครับ รอบนี้ผมได้เคี่ยมน้อยไม้กราฟตอแก้วมังกรมาสองต้น ดีใจมากครับ
ต้นแรก
อีกรูปครับ
ต้นที่สองครับ เริ่มมีหน่อเล็กๆให้เห็น
ต้นสุดท้าย ต้นที่ 16 เป็น Mammillaria luethyi หรือแมม ลูทิไอ นั่นเองครับ เป็นแมมที่จัดว่าค่อนข้างหายากตัวหนึ่ง ไม้รากเลี้ยงยาก โตช้าครับ ดอกเขาสีสันสวยงาม และโดดเด่นมาก ไม่ใช่ดอกเล็กๆแทรกอยู่ตามเนินหนามแบบแมมอื่น ถือว่าเป็นแมมที่มีความท้าทายสูงต้นหนึ่งครับ ได้ไม้ต่อตอมาครั้งนี้ดีใจมากๆครับ

แตกพุ่มหนาแน่นมาก

หมดแล้วนะครับ สำหรับไม้ล็อตนี้ หวังว่าจะเป็นที่เพลิดเพลินของทุกท่าน ช่วงนี้ผมซื้อต้นไม้ไปหลายล็อตอยู่ครับ คงจะมีบล็อกซื้อไม้ตามติดกันมาอีกหลายบล็อก ท่านไหนสนใจละก็ อย่าพลาดนะครับ